ทดลองอัพในมือถือดูค่ะ
สวัสดีค่ะ
บล็อคนี้ยังไม่ร้างนะคะ นานๆทีเข้ามาดูคอมเมนท์บ้าง
เห็นยอดเข้าชมแล้วรู้สึกแปลกใจมากค่ะ มันเยอะมากจริงๆ
ขอบคุณทุกท่านที่ผ่านเข้ามาเยี่ยมชมกันนะคะ
ヾ(*´∀`*)ノ
เพราะไม่มีหัวเรื่องในการเขียนที่ชัดเจน เลยไม่รู้จะเขียนอะไรบ้างดี
ลองคิดขึ้นมาได้ตะกี๊นี้เองว่า...
ต่อไปว่าจะเริ่มเขียนเกี่ยวกับการทำงานของเราดีกว่า
หวังว่าต่อไปคนที่ผ่านเข้ามาก็จะได้สาระแบบใหม่จากงานของเรากลับออกไปบ้าง
ทุกคนชอบถาม google แบบพร่ำเพรื่อบ้างไหม?
นั่นเป็นสิ่งที่เราชอบทำมากค่ะ
ถามตั้งแต่การสะกดคำ ความรู้นั่นนี่ ไปจนถึงว่าวันนี้จะกินอะไรดี
พอไปเจอคำตอบในกระทู้บ้าง บล็อคบ้าง ก็จะหยุดอ่าน
เราอยากให้บล็อคของเราเป็นแบบนั้นบ้าง
วันนึงมีคนลองค้นหาอะไรซักอย่างที่มีในบล็อคเรา
เราคิดว่าในสิ่งที่เรารู้อาจจะมีคนที่ยังไม่รู้อยากจะรู้บ้าง
แต่... ความสม่ำเสมออาจจะไม่เท่าที่ควร
จะพยายามมาเขียนบ่อยๆแล้วกันค่ะ
ขอให้หลงกดเข้ามาบล็อคนี้อีกเรื่อยๆ นะคะ
=]
ordinary day =]
_____เวลาว่างก็อยากเขียน blog
2557-10-26
2556-04-13
เขียนบ้าง : Bungaku Shojo ทำให้ฉันต้องเขียนอีกครั้ง
สวัสดีค่ะ,
หายไปนานมากๆ ทีแรกตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้เดือนละเอนทรี่แล้วนะเนี่ย
แต่แย่กว่าที่คิดไว้ ฮ่าๆ เป็นเพราะว่ายุ่งๆ พอว่างก็ทำอย่างอืนไม่ได้มาดูบล๊อคเท่าไหร่
แอบตกใจมากพอมาเห็นview ยอดมันเพิ่มขึ้นเยอะมากๆจนน่าตกใจเลยล่ะค่ะ
ต้องขอบคุณทุกคนที่ผ่านมาเยี่ยมบล๊อคเราด้วย
หวังว่าสิ่งที่เขียนๆไปในบล๊อคของเราคงจะเป็นประโยชน์ได้บ้าง
ทำการบ้านมาอย่างดีแล้วหลังจากดูอนิเมะเรื่องหนึ่งจบ
ไปศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมมายิ่งชอบ เลยอยากจะมาระบาย "ความประทับใจ" หลังจากดูซักหน่อย
ใช่เลยตามหัวข้อค่ะ วันนี้จะมาคุยเรื่อง Bungaku Shojo หรือสาวน้อยวรรณกรรมนั่นเอง
Bungaku Shojo เป็นนิยายของ Mizuki Nomura จากที่หาข้อมูลมามีออกมาด้วยกันแล้ว 16 เล่ม (รวม side story กับฉบับรวมเรื่องสั้นด้วยค่ะ) เฉพาะเนื้อเรื่องหลักก็จะมี 8 เล่ม ที่เราลองหาหน้าปกมาให้ดูเจอ 6 เล่มด้วยกัน ตีพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษด้วยค่ะ ก็ตามชื่อเดิมเลย "Book Girl"
ในส่วนของอนิเมะผลิตโดย Production I.G ที่สร้างสรรค์ผลงานดีๆออกมามากมาย ส่วนตัวชอบคานะอยู่แล้ว ยิ่งเรื่องนี้พากย์เสียงโทวโกะด้วย ดูเพลินและฟังเพลินกันเลยทีเดียวค่ะ
ก่อนจะดูเราเองก็งงมาก ว่าทำไมมี Bungaku Shojo..... ย่อยๆตั้ง 3-4 อันแหน่ะ จะดูยังไงละเนี่ย??
(มีใครเป็นเหมือนเราบ้างไหมคะ ^^)
ทีแรกลองไปหาข้อมูลลำดับการฉายเป็นแบบนี้ค่ะ
Bungaku Shoujo - Kyou no Oyatsu ~Hatsukoi~ (December 26, 2009)
ฺBungaku Shojo Movie (May 1, 2010)
Bungaku Shōjo Memowāru I -Yumemiru Shōjo no Pureryūdo- (June 25, 2010)
โคโนฮะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของโทวโกะและเป็นสมาชิกชมรมวรรณกรรมเพียงคนเดียว มีน้องสาวน่ารักมากๆหนึ่งคน เค้าต้องการใช้ชีวิตแบบธรรมดา แต่ก็มีความสามารถที่ไม่ธรรมดาแอบซ่อนอยู่ = =''
โทวโกะสาวน้อยวรรณกรรมผู้หลงไหลในรสชาดของวรรณกรรม (ลองชิมแบบเธอดูนะคะ = ='') ผมเปียซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาวน้อยวรรณกรรมโทวโกะได้มาจากคุณแม่ (เสียชีวิตแล้ว) ตอนนี้อาศัยอยู่กับคุณป้า (แม่ของริวโตะ) โทวโกะถูกคุณพ่อสอนในวัยเด็กว่าเธอสามารถลิ้มรสวรรณกรรมต่อหน้าคนที่รักได้ นอกเหนือจากนั้นอย่าพึ่งเลยลูก คนอื่นๆที่อยากอ่านวรรณกรรมที่หนูจะลิ้มก็มีนะเออ แต่แล้วเจ้าโคโนะฮะก็มาเห็นเข้า..(ด้วยความบังเอิญน่ะนะ)
เพื่อนสมัยเด็กของโคโนฮะ (มาแล้วไง!!) ผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน เธอเป็นสาวน้อยมืดมน ดูไปเราก็อยากจะเกลียดเธอมากแต่ก็เกลียดไม่ลงจริงๆ
Bungaku Shōjo Memowāru II -Sora Mau Tenshi no Rekuiem- (October 29, 2010)
Bungaku Shōjo Memowāru III -Koisuru Otome no Rapusodi- (December 24, 2010)
เค้าบอกว่า memowaaru เป็นเรื่องของโคโนฮะและสามสาวค่ะ เนื้อเรื่องก็จะเกี่ยวข้องกับตัว movie อยู่ เราเลยลองดูแบบนี้ค่ะ.. mem I, II, III, movie ปิดท้ายด้วย kyou no oyatsu hatsukoi (เดี๋ยวจะบอกทีหลังว่าทำไมถึงดู kyou no oyatsu hatsukoi สุดท้าย ^^ ) ส่วนตัวคิดว่าดูแบบนี้โอเคมากค่ะ ได้ทำความรู้จักกับตัวละครก่อนไปดู movie ก็จะรู้ความเป็นมาความสัมพันธ์ของแต่ละคน ช่วยทำให้เราอินกับ movie มากขึ้นด้วยแหละ
เรายังไม่เคยอ่านหนังสือเลยล่ะค่ะ การเล่าหรืออธิบายของเราอาจจะไม่ถูกต้องนักต้องขออภัยด้วย ยังไงแฟนพันธุ์แท้ของสาวน้อยวรรณกรรมเปิดมาอ่านก็อย่าพึ่งว่ากันเลยนะคะ สามารถเเนะนำให้เพิ่มเติม-แก้ไขได้ค่ะ ยินดีรับฟัง ในเอนทรี่นี้จะขออธิบายตามอนิเมะที่ดูแล้วกันนะคะ
การดำเนินเรื่องถึงแม้จะชื่อว่าสาวน้อยวรรณกรรมแต่เนื้อเรื่องก็เกี่ยวข้องกับชีวิตรอบตัวของโคโนฮะเป็นหลักมากกว่า (แต่ถ้าดูจบแล้วจะรู้เองว่าโคโนฮะนี่แหละเกี่ยวข้องกับชื่อสาวน้อยวรรณกรรมเต็มๆเลย)
เรามารู้จักตัวละครกันหน่อยดีกว่า ใครเป็นใครบ้าง..
(แนะนำตัวละครอยู่ดีๆ หลุดสปอยด์ออกมาด้วยพอประมาณ ระวังกันด้วยนะคะ)
(แนะนำตัวละครอยู่ดีๆ หลุดสปอยด์ออกมาด้วยพอประมาณ ระวังกันด้วยนะคะ)
โคโนฮะเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของโทวโกะและเป็นสมาชิกชมรมวรรณกรรมเพียงคนเดียว มีน้องสาวน่ารักมากๆหนึ่งคน เค้าต้องการใช้ชีวิตแบบธรรมดา แต่ก็มีความสามารถที่ไม่ธรรมดาแอบซ่อนอยู่ = =''
โทวโกะสาวน้อยวรรณกรรมผู้หลงไหลในรสชาดของวรรณกรรม (ลองชิมแบบเธอดูนะคะ = ='') ผมเปียซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสาวน้อยวรรณกรรมโทวโกะได้มาจากคุณแม่ (เสียชีวิตแล้ว) ตอนนี้อาศัยอยู่กับคุณป้า (แม่ของริวโตะ) โทวโกะถูกคุณพ่อสอนในวัยเด็กว่าเธอสามารถลิ้มรสวรรณกรรมต่อหน้าคนที่รักได้ นอกเหนือจากนั้นอย่าพึ่งเลยลูก คนอื่นๆที่อยากอ่านวรรณกรรมที่หนูจะลิ้มก็มีนะเออ แต่แล้วเจ้าโคโนะฮะก็มาเห็นเข้า..(ด้วยความบังเอิญน่ะนะ)
เพื่อนสมัยเด็กของโคโนฮะ (มาแล้วไง!!) ผู้ใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักเขียน เธอเป็นสาวน้อยมืดมน ดูไปเราก็อยากจะเกลียดเธอมากแต่ก็เกลียดไม่ลงจริงๆ
ใต้ต้นแม็กโนเลียเป็นที่ที่โคโนฮะได้พบกับโทวโกะ
เพราะต้นแม็กโนเลียก็ทำให้รู้สึกชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน แม็กโนเลียเป็นไม้ยืนต้นที่ใหญ่มาก ในชีวิตนี้เราก็เคยเห็นอยู่นับครั้งได้เลย เพราะหาดูได้น้อยมากจริงๆ (และต้นก็ไม่สูงมากขนาดในเรื่องเลยค่ะ) เคยได้ยินมาเค้าบอกว่าแม็กโนเลียเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม ไหนจะเรื่องของความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เพราะดอกแม็กโนเลียดูเหมือนจะบอบบางมาก แต่พอได้สัมผัสดูแล้วกลับแข็งแรงกว่าที่เห็น (เป็นความจริงเลยค่ะ แต่ถ้านานๆเริ่มแห้งแล้วก็ไม่แน่) และที่น่ารักกว่านั้นคือ พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะบานออกดอกสวยงามพร้อมกันทั้งตนเลยค่ะ คงจะเหมือนกับในเรื่องที่เราได้เห็นกันแหละนะ
โทวโกะเป็นสาวน้อยวรรณกรรมที่ชื่นชอบการ"ลิ้มรสวรรณกรรม" เธอสามารถเล่าเรื่องราวที่เธอลิ้มรสแล้วให้คนอื่นฟังได้แบบบรรทัดต่อบรรทัดเลยทีเดียว แต่..คนอื่นจะอินหรือไม่อินไปกับเธอนั้นอีกเรื่องนึง 555
แม่ของโทวโกะก็เป็นนักวรรณกรรมนะคะ ทรงผมของเธอปัจจุบันก็ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากแม่ ผมเปียเป็นสัญลักษณ์ของสาววรรณกรรม... ว่างั้นแหละ
ในตอน Yumemiru Shōjo no Pureryūdo เป็นครั้งแรกที่โทวโกะได้อ่านงานเขียนของใครบางคนแล้วทำให้เธอถึงกับหลงรัก เชียร์ให้ตีพิมพ์จนได้ และหนังสือเรื่องนั้นก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ดูเหมือนจะดีแต่อีกมุมนึงนั้นในความสำเร็จเดียวกันมีใครบางคนที่ต้องเสียใจจนหันเหชีวิตตัวเองไปอีกทาง
โทวโกะไปเจองานเขียนที่บก. กำลังจะทิ้ง
ขณะลิ้มรสวรรณกรรมเธอจะเป็นขนาดนี้เชียวนะ
เมื่อหนังสือเล่มนั้นวางจำหน่าย โทวโกะเธอตามเชคเรตติ้งตลอด 555
เมื่อผลงานแจ้งเกิดประสบความสำเร็จความคาดหวังอื่นๆ ก็ตามมา แต่นักเขียนมัธยมคนดังกลับปฏิเสธงานเขียน ทำให้แฟนๆ รวมทั้งโทวโกะเศร้าไปตามกัน
น้องโทวโกะยามผิดหวังค่ะ
แต่ว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต วันนึงขณะเดินผ่านหลังห้องเรียน โทวโกะได้ยินเสียงอาจารย์ขานชื่อนักเรียนคนหนึ่งเป็นชื่อที่เธอแสนจะคุ้นเคย เด็กผู้ชายคนนั้น..
โคโนฮะกับการพบเจอการลิ้มรสวรรณกรรมในแบบของโทวโกะครั้งแรก
ต่อมา Koisuru Otome no Rapusodi ส่วนตัวแล้วชอบตอนนี้มากกกก ที่สุดเลยค่ะ ดูเป็นเรื่องป๊อบๆ ใสๆ จากที่ดูตอนที่ผ่านมาแล้วดูดราม่าไปหน่อยมาดูตอนนี้แล้วก็รู้สึกโอเคเลยล่ะ ว่าด้วยเรื่องความรักของสาวซึน..
ไม่ใช่ว่านานาเสะจะชอบโคโนฮะแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกนะ มันก็มีที่มาที่ไปของมันแหละ
เพราะอย่างนั้นเธอจึงคิดที่จะทำอะไรบ้างซักอย่าง..
ถึงสิ่งที่ตั้งใจจะมีอุปสรรคเยอะแยะเต็มไปหมดจนทำให้ล้มไม่เป็นท่า (ล้มจริงๆนะ Orz.) แต่ผลพลอยได้มันก็ค่อนข้างจะดีล่ะนะ
และ Kyou no Oyatsu ~Hatsukoi~ เป็นเรื่องราวของโทวโกะและสมาชิกชมรมเพียงหนึ่งเดียว โคโนฮะ กิจกรรมของชมรมคือการเสิร์ฟของว่างให้โทวโกะ 5555 และพ๊อยต์ของเรื่องเลยก็คือสิ่งนี้ค่ะ
แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามทางที่มันควรจะเป็น
โลกใบใหญ่ที่เราอาศัยอยู่ร่วมกันมีเพียงหนึ่งใบ แต่โลกใบเล็กๆ อีกมากมายที่สร้างจากประชากรบนโลกใบใหญ่นั้น เราทุกคนมีโลกส่วนตัว มีความฝัน มีความเชื่อ มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง โลกส่วนตัวของเราก็หมุนรอบตัวเราเหมือนกับโลกใบใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองแล้วยังหมุนรอบดวงอาทิตย์อีก
ทำให้เราได้เห็นท้องฟ้ามืด/สว่าง มีเวลากลางวันและกลางคืน มีวันพรุ่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ แบบอินฟินิตี้
เมื่อไปเกี่ยวข้องกับใครซักคนก็เหมือนไปรับสิ่งใหม่เพิ่มเข้ามาในโลก แต่คนคนนั้นก็จะเข้ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งในโลกของเรา ไม่ได้มาสร้างโลกใบใหม่แทนโลกใบเดิม ไม่ถึงกับว่าเปลี่ยนโครงสร้างใหม่หมดเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ แค่ปรับเปลี่ยนบ้างและโครงสร้างเดิมให้คงอยู่ไว้ก็น่าจะพอ ถ้าไม่สามารถอยู่ได้จริงเค้าก็จะก้าวออกไปเอง การพบปะผู้คนมากมายจะทำให้ได้เรียนรู้วิธีปรับตัวโดยที่ไม่ทำลายโครงสร้างของตัวเราเอง ลองเป็นเหมือนโลกใบใหญ่ที่ไม่ยอมให้มีแค่กลางคืนหรือกลางวันอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหละ
สาวน้อยวรรณกรรม..
.
.
.
.
.
.
การสปอยด์ได้จบลงเพียงเท่านี้..
หากท่านใดสนใจรีบไปชมและไปอ่านกันได้..
ส่วนเราเองก็เหมือนกันหลังจากดูอนิเมะแล้วก็ตกหลุมรักเรื่องนี้มาก คงต้องรีบไปหยิบหนังสือมาอ่านแล้วละค่ะ มีเล่ม 2 แล้วด้วย พึ่งไปสอยมาจากงานหนังสือนี่เอง !!!
เกิดมีความสนใจเกี่ยวกับมิยาซาวะ เคนจิขึ้นมา พบว่าผลงานของเค้าที่ตีพิมพ์ที่ไทยก็มีนะคะ
และ "รถไฟสายทางช้างเผือก" ที่ถูกพูดถึงในเรื่องก็มี หน้าปกแบบนี้ค่ะ
แอบสนใจเหมือนกัน จะพยายามตามหามาอ่านให้ได้เลยค่ะ
สุดท้าย... น้องสาวโคโนฮะ น่ารักขนาดนี้เชียวนะ!!!
และลาด้วยภาพเบบี้โทวโกะค่ะ
โอกาสหน้าถ้าขยันอีก จะมาเขียนยาวๆ และลงภาพเยอะๆ แบบนี้อีกนะคะ =]
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก :
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Book_Girl_episodes
http://www.amazon.com/Mizuki-Nomura
http://www.animecharactersdatabase.com
http://th.wikipedia.org/wiki/แมกโนเลีย
http://www.kenji-world.net/english
เพราะต้นแม็กโนเลียก็ทำให้รู้สึกชอบเรื่องนี้มากเหมือนกัน แม็กโนเลียเป็นไม้ยืนต้นที่ใหญ่มาก ในชีวิตนี้เราก็เคยเห็นอยู่นับครั้งได้เลย เพราะหาดูได้น้อยมากจริงๆ (และต้นก็ไม่สูงมากขนาดในเรื่องเลยค่ะ) เคยได้ยินมาเค้าบอกว่าแม็กโนเลียเป็นสัญลักษณ์แห่งความสง่างาม ไหนจะเรื่องของความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ เพราะดอกแม็กโนเลียดูเหมือนจะบอบบางมาก แต่พอได้สัมผัสดูแล้วกลับแข็งแรงกว่าที่เห็น (เป็นความจริงเลยค่ะ แต่ถ้านานๆเริ่มแห้งแล้วก็ไม่แน่) และที่น่ารักกว่านั้นคือ พอถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะบานออกดอกสวยงามพร้อมกันทั้งตนเลยค่ะ คงจะเหมือนกับในเรื่องที่เราได้เห็นกันแหละนะ
โทวโกะเป็นสาวน้อยวรรณกรรมที่ชื่นชอบการ"ลิ้มรสวรรณกรรม" เธอสามารถเล่าเรื่องราวที่เธอลิ้มรสแล้วให้คนอื่นฟังได้แบบบรรทัดต่อบรรทัดเลยทีเดียว แต่..คนอื่นจะอินหรือไม่อินไปกับเธอนั้นอีกเรื่องนึง 555
แม่ของโทวโกะก็เป็นนักวรรณกรรมนะคะ ทรงผมของเธอปัจจุบันก็ได้รับแรงบรรดาลใจมาจากแม่ ผมเปียเป็นสัญลักษณ์ของสาววรรณกรรม... ว่างั้นแหละ
ในตอน Yumemiru Shōjo no Pureryūdo เป็นครั้งแรกที่โทวโกะได้อ่านงานเขียนของใครบางคนแล้วทำให้เธอถึงกับหลงรัก เชียร์ให้ตีพิมพ์จนได้ และหนังสือเรื่องนั้นก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ดูเหมือนจะดีแต่อีกมุมนึงนั้นในความสำเร็จเดียวกันมีใครบางคนที่ต้องเสียใจจนหันเหชีวิตตัวเองไปอีกทาง
โทวโกะไปเจองานเขียนที่บก. กำลังจะทิ้ง
ขณะลิ้มรสวรรณกรรมเธอจะเป็นขนาดนี้เชียวนะ
เมื่อหนังสือเล่มนั้นวางจำหน่าย โทวโกะเธอตามเชคเรตติ้งตลอด 555
เมื่อผลงานแจ้งเกิดประสบความสำเร็จความคาดหวังอื่นๆ ก็ตามมา แต่นักเขียนมัธยมคนดังกลับปฏิเสธงานเขียน ทำให้แฟนๆ รวมทั้งโทวโกะเศร้าไปตามกัน
น้องโทวโกะยามผิดหวังค่ะ
แต่ว่า โชคชะตาฟ้าลิขิต วันนึงขณะเดินผ่านหลังห้องเรียน โทวโกะได้ยินเสียงอาจารย์ขานชื่อนักเรียนคนหนึ่งเป็นชื่อที่เธอแสนจะคุ้นเคย เด็กผู้ชายคนนั้น..
โคโนฮะกับการพบเจอการลิ้มรสวรรณกรรมในแบบของโทวโกะครั้งแรก
สำหรับ Sora Mau Tenshi no Rekuiem เค้าเริ่มต้นด้วยเธอ ฉัน และท้องฟ้ากันแบบนี้ึ่ค่ะ...
เป็นการเล่าเรื่องต่างๆ ผ่านมิอุเพื่อนสมัยเด็กของโคโนฮะ ชีวิตที่แสนจะรันทดของเธอ มีเพียงวรรณกรรมที่อ่านแล้วทำให้เธฮลืมความทุกข์ใจจากคนรอบข้างไปได้บ้าง วรรณกรรมเป็นเหมือนเพื่อนคนนึงของเธอ และวรรณกรรมก็ทำให้เธอมีเพื่อน
ชีวิตวัยเด็กของมิอุต้องเผชิญกับปัญหารอบตัว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นค่อยๆหล่อหลอมให้เธอเป็นคนแบบนั้นแหละ..
เพื่อนคนแรกทีสนใจเรื่องเล่าของเธอ ให้กำลังใจและคอยอยู่ด้วยเสมอ
เหตุการณ์ต่างๆที่เผชิญมาด้วยกัน ความฝัน ความเชื่อมั่น กำลังใจ แน่นอนว่าเวลาผ่านไป ความรู้สึกก็ต้องเริ่มพัฒนา โดยที่ทั้งสองไม่รู้ตัว (จริงหรอ?)
มิอุอยากเป็นนักเขียน มันเริ่มจากตอนที่เธอเล่าเรื่องที่แต่งเองให้โคโนฮะฟังตอนเด็ก แต่แล้วด้วยอะไรบางอย่างก็ทำให้เธอได้ทำความผิดอย่างหนึ่งกับโคโนฮะเกี่ยวกับเรื่องเล่า และก็ยังเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งมีการประกาศรับงานเขียนโดยนักเขียนหน้าใหม่ แน่นอนว่าเป็นโอกาสที่ดี โคโนฮะเป็นกำลังใจให้มิอุเต็มที่เพื่อที่จะเขียนเรื่องส่ง
เรื่องที่ถูกเลือกให้ตีพิมพ์เป็นของใครกัน แต่เพราะสิ่งนั้นทำให้ความทุกข์ที่เก็บไว้ในใจของมิอุประทุขึ้นมาอย่างหนัก ความหวัง ความฝัน หรืออะไรกันที่เธอสูญเสีย? ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเหตุผลเพียงพอแล้วหรือ? ที่จะทำให้เธอตัดสินใจเช่นนั้น... (ต้องไปติดตามกันเองค่ะ)
ต่อมา Koisuru Otome no Rapusodi ส่วนตัวแล้วชอบตอนนี้มากกกก ที่สุดเลยค่ะ ดูเป็นเรื่องป๊อบๆ ใสๆ จากที่ดูตอนที่ผ่านมาแล้วดูดราม่าไปหน่อยมาดูตอนนี้แล้วก็รู้สึกโอเคเลยล่ะ ว่าด้วยเรื่องความรักของสาวซึน..
ชอบเพื่อนของนานาเสะมากค่ะ พยายามเชียร์+แซวเพื่อนเป็นอย่างดี ตอนทฤษฎีพาฟลอฟเราฮามาก แบบว่าคิดได้ยังไง 5555
ทฤษฎ๊ของพาฟลอฟก็คือ การตอบสนองต่อสิ่งเร้าเมื่อมีเงื่อนไข ในที่นี้นานาเสะทำหน้าไม่ถูก (ก็คนมันเขินนี่เน๊อะ = ='' พอจะเข้าใจ) และชอบพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเวลาเจอหน้าโคโนฮะ เลยถูกจับมาฝึกการตอบสนองเมื่อเจอโคโนฮะโดยใช้รูปภาพไปก่อนไม่ใช่ว่านานาเสะจะชอบโคโนฮะแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยหรอกนะ มันก็มีที่มาที่ไปของมันแหละ
เพราะอย่างนั้นเธอจึงคิดที่จะทำอะไรบ้างซักอย่าง..
ถึงสิ่งที่ตั้งใจจะมีอุปสรรคเยอะแยะเต็มไปหมดจนทำให้ล้มไม่เป็นท่า (ล้มจริงๆนะ Orz.) แต่ผลพลอยได้มันก็ค่อนข้างจะดีล่ะนะ
และ Kyou no Oyatsu ~Hatsukoi~ เป็นเรื่องราวของโทวโกะและสมาชิกชมรมเพียงหนึ่งเดียว โคโนฮะ กิจกรรมของชมรมคือการเสิร์ฟของว่างให้โทวโกะ 5555 และพ๊อยต์ของเรื่องเลยก็คือสิ่งนี้ค่ะ
ความจริงเราดูตอนนี้สุดท้ายเลยหลังจากดู movie จบ เพราะว่าตอนจบในมูฟวี่นั่นมัน... แล้วพอมาดูตอนนี้ตามมันให้อารมณ์เติมเต็มมากว่า ได้ดูสมัยที่สองคนนี้เค้าอยู่ชมรม ทำกิจกรรมชมรมด้วยกันน่ารักดีค่ะ
มากันที่ movie เรื่องราวต่างๆ ได้ดำเนินไปเหมือนเดิม คือ เชื่อมเข้ากันกับตอนย่อย 3 ตอนที่เล่ามาข้างต้น ในที่สุดตู้จดหมายของชมรมวรรณกรรมก็มีจดหมายมาหย่อนแล้ว..
เหมือนจะเป็นเรื่องล้อกันเล่นแต่แม้จริงแล้วภาพนี้มีความหมายแฝงอยู่ โทวโกะและโคโนฮะจึงเริ่มตามหาความจริงว่าผู้ส่งภาพนี้มาคือใคร และกำลังต้องการอะไรอยู่
การพบกันที่ทำให้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนแปลง ความขมขื่นลึกๆที่แฝงอยู่ภายใต้รอยยิ้มซื่อๆของโคโนฮะ ความจริงในเรื่องที่กำลังตามหาจึงค่อยๆ ถูกเปิดเผยขึ้น...
ความจริงที่กำลังเผชิญนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนทุกข์ใจ แต่คนมีความสุขก็พอจะมี แต่ฉากสวีทที่โผล่มานานๆทีทำให้เรากรี๊ดมาก >< น่ารักสุดๆ แต่อารมณ์ของเรื่อง ณ ตอนนั้น ไม่ได้แฮปปี้เท่าไหร่หรอกนะ
เมื่อได้รวบรวม ปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ เข้าด้วยกันแล้ว การคลี่คลายปัญหายังไม่พบว่าจะเป็นอย่างไรต่อ แต่โทวโกะเซนไปสามารถคลี่คลายเรื่องราวต่างๆ ถ่ายทอดออกมาเป็นวรรณกรรมและเธอก็ให้ทุกคนได้ลิ้มลอง/ชมไปพร้อมๆ กัน
ฉากสวีทอีกแล้ว T^T อารมณ์ฉากนั้นก็ไม่ได้แฮปปี้เท่าไหร่อีกเช่นเคยค่ะ
แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทาง ทุกอย่างก็ดำเนินไปตามทางที่มันควรจะเป็น
โลกใบใหญ่ที่เราอาศัยอยู่ร่วมกันมีเพียงหนึ่งใบ แต่โลกใบเล็กๆ อีกมากมายที่สร้างจากประชากรบนโลกใบใหญ่นั้น เราทุกคนมีโลกส่วนตัว มีความฝัน มีความเชื่อ มีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตัวเอง โลกส่วนตัวของเราก็หมุนรอบตัวเราเหมือนกับโลกใบใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองแล้วยังหมุนรอบดวงอาทิตย์อีก
ทำให้เราได้เห็นท้องฟ้ามืด/สว่าง มีเวลากลางวันและกลางคืน มีวันพรุ่งนี้ต่อไปเรื่อยๆ แบบอินฟินิตี้
เมื่อไปเกี่ยวข้องกับใครซักคนก็เหมือนไปรับสิ่งใหม่เพิ่มเข้ามาในโลก แต่คนคนนั้นก็จะเข้ามาเป็นเพียงส่วนหนึ่งในโลกของเรา ไม่ได้มาสร้างโลกใบใหม่แทนโลกใบเดิม ไม่ถึงกับว่าเปลี่ยนโครงสร้างใหม่หมดเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้ แค่ปรับเปลี่ยนบ้างและโครงสร้างเดิมให้คงอยู่ไว้ก็น่าจะพอ ถ้าไม่สามารถอยู่ได้จริงเค้าก็จะก้าวออกไปเอง การพบปะผู้คนมากมายจะทำให้ได้เรียนรู้วิธีปรับตัวโดยที่ไม่ทำลายโครงสร้างของตัวเราเอง ลองเป็นเหมือนโลกใบใหญ่ที่ไม่ยอมให้มีแค่กลางคืนหรือกลางวันอย่างใดอย่างหนึ่งนั่นแหละ
สาวน้อยวรรณกรรม..
.
.
.
.
.
.
การสปอยด์ได้จบลงเพียงเท่านี้..
หากท่านใดสนใจรีบไปชมและไปอ่านกันได้..
ส่วนเราเองก็เหมือนกันหลังจากดูอนิเมะแล้วก็ตกหลุมรักเรื่องนี้มาก คงต้องรีบไปหยิบหนังสือมาอ่านแล้วละค่ะ มีเล่ม 2 แล้วด้วย พึ่งไปสอยมาจากงานหนังสือนี่เอง !!!
เกิดมีความสนใจเกี่ยวกับมิยาซาวะ เคนจิขึ้นมา พบว่าผลงานของเค้าที่ตีพิมพ์ที่ไทยก็มีนะคะ
และ "รถไฟสายทางช้างเผือก" ที่ถูกพูดถึงในเรื่องก็มี หน้าปกแบบนี้ค่ะ
แอบสนใจเหมือนกัน จะพยายามตามหามาอ่านให้ได้เลยค่ะ
สุดท้าย... น้องสาวโคโนฮะ น่ารักขนาดนี้เชียวนะ!!!
และลาด้วยภาพเบบี้โทวโกะค่ะ
โอกาสหน้าถ้าขยันอีก จะมาเขียนยาวๆ และลงภาพเยอะๆ แบบนี้อีกนะคะ =]
ขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก :
http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_Book_Girl_episodes
http://www.amazon.com/Mizuki-Nomura
http://www.animecharactersdatabase.com
http://th.wikipedia.org/wiki/แมกโนเลีย
http://www.kenji-world.net/english
2556-01-07
จัดลำดับความสำคัญ.. = =''
* มอสบอลที่เคยดูแลอยู่ช่วงหนึ่ง...ตอนนี้หลุดหายไปไหนก็ไม่รู้ค่ะ = =''
กำลังอยู่ระหว่างการฝึกงาน ได้ลองปรับตัว และเจอกับอะไรหลายอย่างเลย
คิดว่า ถ้าผ่านจุดนี้ไปแล้ว จะทำให้เราเป็นผู้ใหญ่และโตขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแน่นอนค่ะ
เกี่ยวกับการจัดลำดับความสำคัญ... เวลาและกิจกรรม
เวลามี 24 ชั่วโมงต่อวัน เรื่องนี้ใครๆก็รู้มาตั้งแต่เด็ก
ในแต่ละวัยนั้นเราจะใช้เวลาทำนั่น ทำนี่ไม่เหมือนกัน พูดง่ายๆคือ กิจกรรมที่ต้องทำก็จะเปลี่ยนไปตามวัย
ตอนเด็กเราเคยเล่นไปซะครึ่งค่อนวัน ใช้เวลากินข้าวแต่ละมื้อเป็นชั่วโมง
หรือแม้แต่จะนอนก็นอนไปเลยทั้งวันเลยก็มี...
พอเริ่มเข้าสู่สังคม เวลาส่วนหนึ่งก็ต้องแบ่งไปทำกิจกรรมร่่วมกับคนอื่นบ้าง
ไปเล่นกับเพื่อน เล่นคนเดียว ก็ต้องใช้เวลาเหมือนกัน
โตขึ้นมาอีก เวลาอีกส่วนก็ต้องแบ่งไปให้กับการศึกษา
เวลาบางอย่างก็อาจจะถูกลดลงไป แต่ก็แบ่งๆกันใน 24 ชั่วโมงที่มีอยู่ดี
เคยลองนั่ง list เล่นๆกันไหมคะ
ว่าวันหนึ่งคุณทำอะไรไปบ้าง? ทำไปกี่อย่าง? แล้วแต่ละอย่างใช้เวลาเท่าไหร่กัน?
ถ้าเคยทำอะไรแบบนี้ มั่นใจว่าซักวันหนึ่งคุณต้องเขียน "planner" หรือ "calendar book" หรือ "บันทึกประจำวัน" แน่ๆ ------- เพราะเราก็เป็นแบบนั้น
พอเริ่มมีกิจกรรมมากขึ้น จะเป็นการบังคับให้คนเราต้อง "จัดการเวลา" ใ้ห้ balance กับงาน/กิจกรรมนั้นๆ
หรืออาจจะวางแผน... (แต่เวลาที่วางแผนแล้วไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้มันก็.....)
ตอนนี้เราฝึกงานเสมือนทำงานจริง แต่ยังต้องส่งงาน มีกิจกรรมบังคับให้ทำ
เวลาที่มีในแต่ละวันเลยต้องมีการจัดการ แบ่งเวลาในการทำสิ่งต่างๆเหล่านั้น
ทีแรกเราึคิดว่าจะไม่รอด แต่ไปๆมาๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
ผ่านมาเดือนกว่าๆ ยังไม่เคยตื่นสาย ไม่เคยส่งงานช้าเลย
แต่ขณะเดียวกัน งานอดิเรกเดิมๆของเรามันก็ถูกตัดเวลา ถูกเเบ่งเวลาไปทำอย่างอืื่น...
บางวันก็ยังได้สัมผัสเพียงน้อยนิด แต่บางวันก็หายไปเลย T T (ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างหลังมากกว่าค่ะ)
เพราะตอนนี้
1.ฝึกงาน
2.การบ้านรายวัน เรื่องที่ต้องค้นเพิ่มเติมตามความสนใจ
3.ความสะอาดที่อยู่อาศัย/ตัวเอง
4.ปากท้อง(อาหารการกิน)
5.สังสรรกับเพื่อนร่วมที่อยู่
6.ชาร์จแบต (นอน)
7. งานอดิเรกและอื่นๆ
ส่วนใหญ่มักจะทำๆถึงแค่ข้อ 6 เองค่ะ แต่ก็คิดว่าเป็นการจัดการเวลา และลำดับความสำคัญของสิ่งที่ต้องทำได้ดีสำหรับเราแล้วล่ะ T[]T -------- (ร้องไห้คิดถึงอนิเมะ หนังสือการ์ตูน หนังสือนิยาย นิตยสาร เพื่อนในโลกออนไลน์ กระทู้ในเว็บบอร์ดต่างๆ นานาที่เป็นสมาชิก การอัพเดทข่าวสารอนิเมะ/ศิลปินที่ชื่นชอบ )
นี่สินะ หนทางสู่การเป็นผู้ใหญ่!!!!!!!!! (แต่ตอนนี้มันเจ็บปวดมากค่ะ)
เมื่อเราได้ดูอนิเมะ ก็จัดลำดับความสำคัญอีก
แต่ก่อนเรื่องที่ต้องรีบดูจะเป็นเมะใหม่ๆที่ออกในช่วงนั้น ต้องอัพเดท! ไม่งั้นคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง
แต่ตอนนี้ อยากดูเรื่องที่อยากดูจริงๆก่อน จะดูไปแล้วหลายรอบก็ช่าง เมะใหม่ๆยังไม่อยากดูก็เอาไว้ก่อน
เพราะให้ความสำคัญกับความรู้สึกตัวเอง(ที่อยากดูเรื่องไหน) มากกว่าการไปพูดคุยกับคนอื่น
----- แบบนี้ดีไหมนะ 5555 (ไร้สาระ !!!)
แต่ก็มีเรื่องที่เราลำดับความสำคัญไม่ได้เหมือนกัน
และคิดว่าไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ เป็นช่วงวัยไหนก็จะยังคงเหมือนเดิม
เราจะลำดับความคัญเรื่องนี้ไม่ได้ซักที
ตามระยะของพัฒนาการ (หยิบวิชาการมานิดหน่อย) ช่วงวัยของเรามันน่าจะหลุดพ้นจากการยึดติดกับเพื่อนได้แล้วล่ะ น่าจะกำลังสนใจเรื่องคู่ครองอะไรทำนองนั้นมากกว่า (พูดซะน่ากลัว = ='')
แต่เราเป็นคนติดเพื่อนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ไม่รู้ทำไม
ถ้ารักเพื่อนคนไหนแล้วจะคิดว่าเพื่อนๆนั้นคืออันดับหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญ (ก่อนตัวเองด้วยนะ)
ไม่รู็้ว่าทำไม (อีกนั่นแหละ) เราไม่ได้คิดว่าต้องทำดีกับเพื่อนไม่งั้นเพื่อนจะทิ้งเรา แต่เราคิดว่าเรามีเพื่อนเราต้องทำดีกับเพื่อนให้มากๆ เราไม่อยากให้เพื่อนลำบากใจ หรือเดือดร้อนเพราะเรา
เราชอบดูแลคนอื่น ชอบเลี้ยงคนอื่นเพราะเราอยากเลี้ยง ทำอะไรให้คนอื่น หรือใช้เงินตัวเองเพื่อคนอื่นแล้วรู้สึกดี (?)
เพราะเวลาเรามีความสุข เรารู้ตัวว่ามีความสุข แต่บอกคนอื่นไปใครก็ไม่เข้าใจเราหรอก
ต่างกัน...เวลาที่เราพยายามทำบางอย่างที่ (+) ให้ใครซักคน เราก็มีความสุข แล้วก็เห็นว่าคนอื่นเค้าก็มีความสุขชัดเจน
เราเคยทำอะไรใ้ห้เพื่อนแบบที่เรารู้ว่าตัวเองทำอะไร แต่ทางนั้นไม่รู้เลยว่าเราทำให้ก็มี แค่เห็นการตอบรับว่าเค้ามีความสุข เราก็พอใจ
แต่พอลองมานึกถึงตัวเองบ้างว่านอกจากความสุขที่เป็นความรู้สึกแล้ว เราได้อะไรกลับมาเป็นนามธรรมบ้างไหม?
เป็นเรื่องธรรมดา เราไม่ใช่คนดีที่จะไม่คิดหวังผลตอบแทนซะทีเดียว
ในหนึ่งวันเรามีึความรู้สึกหลายแบบใช่ไหม? แล้วเราก็มีอารมณ์หลายแบบเหมือนกันใช่ไหม?
เพราะสองอย่างนี้มันเกิดขึ้นตามสถานการณ์ที่เผชิญ ดีก็ (+) ไม่ดีก็ (-) ไปตามนั้น
พอกลับมานึกถึงตรงนี้ กลายเป็นว่าเราเป็นคนนึงที่ "ใจน้อย" และ "ชอบน้อยใจ" เพื่อนมาก
เคยมีคนบอกว่า เราเป็นคนทำให้เพื่อนเสียนิสัยเอง เพราะืำทำให้เค้าเป็นผู้รับฝ่ายเดียวเลยเป็นผู้ให้ไม่ได้
แต่บางครั้งตัวเราก็ยังคิดเองเลยว่า เราเลือกจะทำแบบนั้นไปแล้วจะมาคิดอย่างนี้ไปทำไม? (นั่นสิ?)
เราคิดว่าคนในครอบครัว เป็นคนที่มีน้ำใจและเจตนาในการให้ที่บริสุทธิ์ที่สุดแล้ว เพราะท่านไม่ได้ต้องการผลตอบแทนแน่นอน T T ------- นี่สินะ ผู้ใหญ่
มาถึงตอนนี้พิมพ์ไปเราก็เกิดเป็นทุกข์ใจเองว่า แล้วสิ่งที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง เค้าจะยินดีตามที่แสดงออกจริงหรอ? แล้วเค้าจะคิดยังไงเวลาที่เรา (+) ?
หรือที่ผ่านมาเราอาจจะเยอะไป จนเค้ารับไม่ได้ และตอบสนองเป็น (+) กลับมาให้เราไม่ได้บ้าง เค้าไม่ได้ต้องการเลย แต่เราให้เค้าไปเอง (พิมพ์แบบนี้แล้วรู้สึกเจ็บปวด = ='' แต่มันก็เป็นความจริงที่อาจจะเป็นไปได้ละนะ)
เป็นการกระทำ/คำพูดที่เกินความจำเป็น เกินความต้องการ ไหมนะ?
พอมาคิดแบบนี้ก็รู้สึก "เสียดายจังค่ะ"
เราแค่อยากรู้ว่าเค้าเคยนึกถึงเราบ้างไหม ในขณะที่เรานึกถึงแต่เค้าตลอด
เวลาที่เค้าจะ (+) แล้วเราต้อง (-) เรายังยอมเลย เพราะเราไม่อยากให้ (-) และ (-) ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เวลาที่เราแสดงออกว่าเรา "มีความรู้สึก (-)" เค้าก็จะแสดง "ความรู้สึก (+)" ออกมาให้
แ้ล้วเราก็จะเปลี่ยนเป็น "ความรู้สึก (+)" อย่างเร็วมาก เพราะไม่อยากให้มัน (-) นานเกินไป
(+) ตรงนี้คือ การแสดงความรู้สึกว่า รู้ว่างอน แล้วก็มาง้ออย่่างเร็ว
พอเจออย่างงั้นแล้วเราก็เปลี่ยนเป็น (+) เร็วมาก ......ความรู้สึกมันเปลี่ยนแปลงง่ายจริงๆ
ที่ต้องการคือ ไม่ได้อยากให้ทำดีกับเราเฉพาะเวลาที่รู้ว่าเราโกรธ
เค้ารู้แ่น่นอนว่าเราเป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว
ถ้าเราไม่โกรธง่าย ไม่น้อยใจ ก็คงจะไม่ได้ (+) กลับมาเลยสินะ ?
เราไม่อยากให้คนอื่นโกรธเรา-น้อยใจเรา แต่คนอื่นกลับชอบทำให้เรารู้สึกแบบนั้นซะเอง
เรื่องที่ึคนอื่นว่ามันเล็กน้อยไม่มีค่าพอจะทำให้ึคนอื่นดีใจหรือมีความสุข สำหรับเราแล้วมันยิ่งใหญ่มาก
คิดว่าถ้าความสัมพันธ์และผลประโยชน์ของคนเรา (-) (-) = (+) เหมือนคณิตศาสตร์ได้ก็คงจะดี
ตอนนี้เราติด - เยอะมาก ถ้าเป็นนักธุรกิจหรือห้างร้านซักแห่ง ตอนนี้คงล้มละลายไปแล้วล่ะ
ต่อไปคงต้องรู้จักปล่อยวางบ้าง ในเมื่อทำไปแล้วเราก็เจอแต่ (-) กลับมาตลอด
ไม่มีกำลังใจจะ (+) ไปให้อีกแล้วล่ะ
ซักวันเราก็จะโตไปเอง ทั้งความคิดและจิตใจ
My goal >>> ปีนี้ต้องให้ความสำคัญกับตัวเองใ้ห้มาก เอาเรื่อง-จิตใจคนอื่นไปไว้อันดับหลังๆ ซะ!!!
และเป็นเหมือนกับ pill bug
2555-10-09
กินบ่อยบ่อย ก็จะง่วงบ่อยบ่อยด้วยสินะ...!! =]
สวัสดีค่ะ,,
ดูเหมือนว่าจะไม่มีความเคลื่อนไหวใดใดเลยมานานหลายเดือน
เพราะติดภารกิจ เรื่องงาน เรื่องเรียน เยอะแยะพันกันยุ่งเหยิงไปหมดเลยค่ะ
กว่าจะได้มาเปิดดูหน้าบล๊อคเวลาก็ร่วงโรยเข้าสู่วัย "เลขเบิ้ล" แล้ว ฮ่าๆๆ
ไหนจะอากาศช่วงนี้ จากก่อนโน้นเป็นหน้าฝน แต่ตอนนี้ฝนตกจนเป็นพายุเข้าซะแล้วล่ะค่ะ
มีอะไรอยากเล่าหลายอย่างเลยค่ะ
ดูเหมือนว่าจะเชื่อมด้วยภาพของกินทั้งนั้น ฮ่าๆๆ
ยังไงก็อัพเดทป้องกันการทิ้งบล๊อคไปแบบไม่กลับมาอีกแล้วกัน เน๊อะ ^^
ประมาณปลายพฤษภา - กลางเดือนกรกฎา 2012
ก็ทำโปรเจคตามประสาเด็กปีสุดท้ายของทุกที่ค่ะ
เป็นการทำงานที่ให้ประสบการณ์เราหลายอย่างมากๆ ทั้งทักษะแปลกใหม่ที่ไม่เคยทำมาก่อน
เวลาที่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ด้วยความคิด แรงกายแรงใจของตัวเอง มันค่อนข้างลำบากก็จริงแต่มีความสุขมากเลยนะคะ
แต่ใช่ว่าในเหตุการณ์หนึ่ง ผู้ร่วมเหตุการณ์จะมีความรู้สึกหรือปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนกันทุกคน...
เราคิดว่าการทำงานร่วมกับคนอื่นก็เหมือนกับการลงทุนค่ะ
ไม่ว่าผลลัพธ์ที่ร่วมกันลงทุนจะเป็นอะไร แต่ก็ต้องเป็นสิ่งที่ผู้ร่วมทุกคนต้องการเหมือนกัน เลยมาร่วมงานกันได้
การเป็นลงทุนร่วมกันแน่นอนว่าไม่สามารถไปบ่งการใคร เพื่อที่จะให้เค้าทำตามหรือวิ่งไปเพื่อให้ถึงปลายทางที่เราต้องการ เพราะต่างคนก็ต่างความคิด ต่างจิตต่างใจไป = =
การลงทุนบางคนลงทุนมากลงทุนน้อย
แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องการก็คือผลกำไรที่เกิดจากการลงทุนของตัวเอง
ท้ายที่สุดวิชาเรียนนั้นทำให้เราได้รู้จักคนทำงานหลายแบบมาก...
ได้เจอกับนักลงทุนที่ลงทุนน้อยแต่หวังผลมาก
ได้เจอกับนักลงทุนที่ลงทุนตามมีตามเกิดและหวังผลตามมีตามเกิด
ได้เจอกับนักลงทุนที่ลงทุนมากแต่ไม่หวังผลกำไรเกินควร
ได้เจอกับลูกกระจ๊อกที่ไม่ใช่นักลงทุนแต่อยากได้ผลตอบแทน = =''
สำหรับเราแล้ว แม้ผลจากการลงทุนจะไม่ใช่เม็ดเงินจำนวนมาก แต่เราได้ประสบการณ์ แนวคิด มุมมอง การรู้จักคน ทักษะการทำงาน เพื่อน ความรู้สึกดี-ไม่ดี ความทรงจำที่ประทับใจ-ไม่ประทับใจ คิดว่ามันมีค่าและเก็บไว้ได้นานกว่าเงินแน่นอน..
โบชัวร์ที่กำลังออกเดินทาง!!!! และความรู้สึกของเรา
กลางกรกฎา - ต้นกันยา 2012
เริ่มไปฝึกงานที่ห้องคลอดค่ะ
แน่นอนว่าการเกิดเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ แต่ก็แลกมาด้วยความเจ็บปวด ความเหนื่อยล้าไม่น้อยเลย
ต้องบอกว่าสุดยอดมาก ไม่รู้จะหาคำบรรยายอะไรมาบรรยายดี ^^
ถึงตอนอยู่ที่ห้องคลอดจะอารมณ์ดี กระตือรือร้น ร่างกายแข็งแรง กำยำล้ำเิลิศ 555 แต่พอลงเวรมาก็สลบเหมือดไปเลยล่ะค่ะ
แต่ว่า.. แต่ว่า.. ช่วงนึงเรามีไอเทมเยียวยาจิตใจชั้นเลิศ..
ซากุระสึบาสะ แบบจบบริบูรณ์เลยนะ หาอ่านได้ยากแต่เราเจอที่นึงล่ะ ^^
ต้นเดือนสิงหา 2012
มาแล้วววววว ในที่สุด
Gingham Check ของ AKB48 ออกมาแล้ว ชอบเพลงนี้มากกกก สีฟ้าขาวตารางหมากรุกช่างสดใส เหมาะกับสาวๆเหลือเกิน ปัจจุบันนี้ยังฟังวันละหลายรอบอยู่เลยค่ะ (แต่UZAกำลังเริ่มมา 555)
ยูโกะน่ารักมากค่ะ =]
ช่วงปลายสิงหา 2012
ได้ไปประกวดโปรเจคที่ทำตอนต้นต่อด้วยล่ะค่ะ
ไหนจะทำงานต่อ ทำงานเพิ่มเติม เรียนเพิ่มในสิ่งที่ไม่เคยเรียน
ได้ฝึกการจัดสรรค์เวลาในการทำกิจกรรมทุกอย่างให้ได้ทั้งหมด (รวมทั้งการฝึกงานที่ห้องคลอดด้วย)
คิดว่า..... จะไปไม่รอดซะแล้ว
แต่ว่า เรา-เพื่อนของเรา-ฝาแฝดของเรา ก็จัดการทุกอย่างได้ และผ่านช่วงเวลานั้นไปได้ด้วยดี
ต้องขอบพระคุณผู้ให้ความช่วยเหลือ และมีส่วนทำให้พวกเราทำงานผ่านไปได้อย่างราบรื่น
รู้สึกประทับใจในความช่วยเหลือ จะจำไว้เสมอ ไม่ลืมแน่นอนค่ะ
แต่ก็ยังมีความรู้สึก negative กับคนบางกลุ่มเกิดขึ้นเช่นกัน...
อาหารเช้าก่อนจะไป present งานกัน =]
เนื่องจากว่า... เกี่ยวกับงานนั้นบรรยากาศก็ประทับใจระดับหนึ่ง
แต่มีอย่างอื่นที่ทำให้รู้สึกประทับใจมากกว่า...
นั่นคือ...
เต้นท์แตงโมค่ะ
กลางเดือนกันยา 2012
เราทำงานที่เรียนรู้เพิ่มจากการประกวดเสร็จแล้ว ด้วยความร่วมมือจากหลายๆ ฝ่าย
สำคัญที่สุดคือ กลุ่มทำงานเราทั้งสามคน เรา-เพื่อนของเรา-ฝาแฝดของเรา
ก่อนจะไปถึงจุดหมาย เราก็ควรมีการเลี้ยงฉลองกันในทีมด้วยล่ะนะ
เป็นการสร้างกำลังใจ คลายเครียด ผ่อนคลายซะบ้าง และเพิ่มความสะใจ(?)ให้กับการทำงานต่อในวันข้างหน้า...
42/3 พนักงานถึงกับขำต่อหน้าต่อตาเลยค่ะ = =''
ปลายเดือนกันยา 2012
ใช้เรื่องวันเกิดของเพื่อนเป็นข้ออ้าง เพราะอยากไปเจอหน้ากันเท่านั้นเอง 5555
ได้เจอเพื่อนที่เรียนด้วยกันตอนมัธยม บางคนไม่ได้เจอกันเลยช่วงเรียนมหา'ลัย
ส่วนเพื่อนสนิทเราก็นัดเจอกันบ่อยๆ อยู่แล้ว (รวมทั้งครั้งนี้ด้วย)
ดูเหมือนว่าทุกคนก็มีความเปลี่ยนแปลง ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นทั้งรูปลักษณ์ (ฮ่าๆๆ) และความคิด
เกือบลืมไปเลย ว่าเคยมีช่วงที่เคยได้คุยกันทั้งวัน ทะเลาะกันด้วยเรื่องการบ้่าน ฟ้องครู ไหนจะสินบนเช็คชื่อเข้าแถว เร่งรีบไปจองโต๊ะกินข้าว และเรื่องน่าอาย พฤติกรรมน่าอายหลายอย่างทีี่่เคยแสดงให้เพื่อนเห็น ฮ่าๆ
เพราะว่าเป็นเพื่อนล่ะนะเลยเห็นด้านแบบนั้นได้ ^^
กินไอติมด้วยตามธรรมเนียม ฮ่าๆ
ตุลาคม 2012
กิจกรรมทุกอย่างน่าจะจบลงหลังสอบเสร็จ
เพราะต่อไปจะมีสอบอีกก็เลยต้องเตรียมตัวต่อค่ะ ^^
คนที่ชอบกินมากๆ จะให้เหตุผลในการกินเยอะช่วงนี้บ่อยๆว่าเครียดเลยกินมาก 5555
แต่เรายังไม่ถึงกับเครียด แต่ก็กินมาก เนื่องมาจากหลายสาเหตุ
เวลาที่เรามีความสุขมากๆ เราก็กินมากได้เหมือนกันใช่ไหมละคะ ...
ขนมปุยฝ้าย เจอที่ไหน กินเมื่อไหร่ก็อร่อยทุกทีไป เป็นขนมที่กินบ่อยมากค่ะช่วงนี้ ถึงกับคิดว่าจะลองทำเลยล่ะค่ะ = =''
เผือกหิมะจากร้านในมหาวิทยาลัย เป็นของกินเล่นที่แปลกใหม่มากสำหรับเรา เพราะพึ่งเคยกินช่วงนี้เองค่ะ อร่อยมากจริงๆ อยากลองชิมของเจ้าอื่นบ้างแล้วสิ,,
ต้องอยู่ที่คณะเกือบทุกวันเลยค่ะช่วงนี้,,,
สองอย่างข้างบน คือสิ่งที่กินบ่อยมากที่สุด ความจริงยังมียิบย่อยมากกว่านี้ มีของกินที่อยากจะแนะนำให้ลองชิมอีกเยอะค่ะ แต่เกรงว่าบล๊อคจะยาวเกินไป เลยไว้แค่นี้ก่อน...
ต่อไปมีวิธีแก้ง่วงมากแนะนำค่ะ !!!!
เราดู Zenkai girl 2 รอบเลย เพราะความน่ารักของนักแสดง และเนื้อหาที่ผ่อนคลายพอประมาณไม่ทำให้เครียดมาก ที่ประทับใจเป็นพิเศษตอนนึงคือ ฉากที่เป็นวิธีแก้ง่วงของวาคาบะ เราทำมาแล้วเกือบทั้งนั้น 5555 พอมาเจอในซีรีย์เลยฮามากกับฉากนี้ ทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่ได้ฮามากขนาดนั้น
วิธีแก้ง่วงของวาคาบะ...
เวลาอ่านหนังสือตอนกลางคืนผ่านไปซักช่วงนึง บางทีคุณรู้สึกง่วงนอน ในทีแรกอาจจะยังทนได้ เพราะยังคุมสติตัวเองได้อยู่ พอเริ่มเข้าสู่active phase (?) เริ่มง่วงมาก หัวมันเริ่มเบาๆ หตังตาเริ่มหนักขึ้น ในเมื่อยังทำงานไม่เสร็จ อ่านหนังสือไม่จบก็อาจจะแย่ละสิ !!
มาแก้ง่วงด้วยวิธีแรก ฮาาา.... เลือกความแรงได้ตามชอบเลยค่ะ!!!
วิธีที่ 2 บางทีความเจ็บปวดที่ผิวหนังอาจจะทำให้คุณรู้สึกตัวกลับมาควบคุมสติได้อีกครั้งล่ะมั้ง
วิธีที่ 3 ทาเลยค่ะ ตาสว่างแน่นอน ฮ่า.....
สุดท้ายแล้ว ยังไงการโด๊ฟด้วยเครื่องดื่มอาจจะได้ผลดีที่สุด.... (วิธีนี้อย่างเดียวอาจจะแก้ง่วงไ้ด้สำเร็จตั้งแต่ก่อนเริ่มทำสามวิธีข้างบนก็ได้นะคะ )
ชอบวิธีไหนก็ลองทำดูนะคะ
สำหรับเราแล้ว หนังยางได้ผลดีตอนกำลังนั่งเรียน
ของมีคมได้ผลดีช่วงนั่งเรียน - นั่งเขียนงาน
การโด๊ฟด้วยเครื่องดื่ม ได้ผลเฉพาะตอนอ่านหนังสือ แต่ขณะนั่งเรียนไม่สามารถระงับอาการได้เลยไม่รู้ทำไม
ส่วนยาหม่องเป็นวิธีที่ไม่ได้ผลเลยสำหรับเราเพราะเวลาแสบตามากยิ่งหลับตา แล้วก็จะหลับยาวไปเลยค่ะ ^^
รักษาสุขภาพด้วยนะคะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)